นิทานก่อนนอน

คนโกหก
นานมาแล้วมีครอบครัวหาฟืนอยู่ครอบครัวหนึ่ง พวกเขามีจิตใจโอบอ้อมอารี และคนในบ้านจะช่วยกันทำงาน ทุกอย่างไม่ว่าหนักหรือเบาเขาจะช่วยกันอย่างเต็มใจ  เช้าวันรุ่งขึ้นชายหาฟืนได้ออกป่าเพื่อหาอาหารมาเก็บไว้ ในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง ช่วงที่ เขาเดินทางเข้าป่าเขาได้สมุนไพรและอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นไก่ป่า หรือ พวกแมลงที่กินได้เมื่อได้มากพอเขาก็เดินทางกลับบ้านระหว่างทางเขาได้ยิน เสียงร้อง “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”

เขาวิ่งไปตามเสียงร้อง ขอความช่วยเหลือ เมื่อเขาไปถึงก็พบหญิงชราซึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และร้องเจ็บปวด เหมือนโดนอะไรสักอย่าง “ยายท่านเป็นอะไร โดนงูกัด หรือว่าเหยียบเศษไม้ ไหนข้าขอดูเท้าของท่านหน่อย” เขาจับเท้าหญิงชราดูก็ไม่เห็น บาดแผล  “บาดแผลของท่านก็ไม่มีสงสัยขาอาจจะอักเสบก็ได้ ถ้าเช่นนั้นท่าน ขี่หลังข้า กลับบ้านก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

ชายหาฟืนพาหญิงชรากลับ บ้านด้วย เขาไม่ต้องการเห็นหญิงชราต้องมา นั่งอยู่คนเดียวแบบนี้อาจเกิดอันตราย ได้ และกล่าวว่า “ท่านจะเดินทางไปไหน ข้า จะไปส่งท่านแต่ช่วงนี้อยากให้ท่านพักผ่อนให้หายดีก่อนถึงเดิน ทางต่อ หญิงชรา“ข้าไม่ได้ไปไหนหรอกข้าไม่มีลูกหลานข้าเดินทางมาเรื่อย ๆ และปวดเท้ามากเลยแวะ นั่งพัก ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรถึงได้ปวดขนาดนี้  แต่ว่าข้าหิวมากเลยช่วยหาอะไรให้ ข้ากินตอนนี้จะได้ไหม”

ชาย หาฟืนได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอาไก่ป่าให้ภรรยานำไปทำอาหารทันที ไม่นานอาหารก็เสร็จและนำมาให้หญิง ชรากินก่อนหญิงชรากินอย่างไม่เกรงใจ “ท่านอิ่มหรือยังถ้ายังไม่อิ่มจะเอาอีกชามก็ได้นะ เพราะครอบครัว พวกข้ากินกันไม่มาก จะประหยัดไว้ วันหน้า ชามเดียวพวกข้ากินกันได้ทั้งบ้านแต่ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ยังมี อีกเป็นหม้อเลย”  หญิงชราแกล้งทำเป็นปวดเท้ามาก

หญิงชรา ไม่ได้เป็นอะไร แกต้องการแกล้งคนและแกเป็นคนที่มีนิสัยชอบโกหก ชาวบ้านแถวนั้นเป็นประจำ จนคนในหมู่บ้านไม่มีใครสนใจแก เผอิญชายหาฟืนเดินทางผ่านมาและยังมีอาหารมากมายแกก็แกล้งเจ็บขา เพื่อต้องการจะขอแบ่งอาหารกินและจะได้อาศัยขี่หลังชายหาฟืนไม่ต้องเดินให้ เหนื่อยอีกด้วยหญิงชรากล่าว ว่า “ข้ายังไม่อิ่มเลยอยากได้น้ำซุปอีกสักถ้วยไม่ต้องเอาเนื้อไก่ก็ได้ไม่อยาก รบกวนเกรงใจพวกท่าน เอาไว้ขา ของข้าหายจะตอบแทนบุญคุณพวกท่านที่ได้ช่วยข้าไว้นะ”

พอตก ค่ำชายหาฟืนและครอบครัวทุกคนทำงานเสร็จก็มานั่งรวมกันเพื่อกินข้าว  ผู้เป็นภรรยาเดินเข้าครัวไป ตักอาหารแต่อาหารในหม้อกลับเหลือเพียงน้ำซุปเท่านั้น ภรรยา ตะโกนถามพวกเด็ก ๆว่า “ พวกเด็กๆ ได้แอบ มาตักกินก่อนพ่อแม่หรือเปล่าทำไม อาหารในหม้อถึงหมดแบบนี้”  ลูก ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ครับ พวกเราก็ทำงาน ที่สวนกับพ่อแม่และกลับพร้อมกัน ไม่มีใครกลับมาก่อนนี่ครับ” หญิงชราตอบเบา ๆ ว่า “สงสัย จะเป็นพวกแมลงหรือไม่ก็ไก่ป่าอีกตัวมันคงแอบมากินของพวกเธอ”

ชาย หาฟืนแปลกใจ เพราะไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากหญิงชรา แต่หญิงชรา ขาเจ็บเดินไม่ได้จะเอาเรี่ยวแรงไหน มาเดินไปตักอาหารได้ ชายหาฟืนนึกได้ว่ามีวิธีเดียว ที่จะจับขโมยได้เขาเดินเขาไปในครัว “อ้าวแม่ยาฆ่าแมลง ที่ฉันวางไว้ข้างเตา มันหายไปไหนก่อนออกไปยังเห็นอยู่เลย หรือว่าแม่จับใส่อาหารในหม้อไปแล้ว”  “ก็ไม่รู้นิ นึกว่าเป็นพวกเครื่องเทศที่พ่อเคยทำเอาไว้ให้ฉันเห็นเสียดายเลยจับเทลงใน หม้อ  กลับมาจะได้กินกันเลย ไม่ต้องมานั่งปรุงใหม่ ”

สอง สามีภรรยาแกล้งทำเป็นตกอกตกใจแต่จริงแล้วไม่ได้มียาฆ่าแมลงเลย หญิงชรากลัวตายขึ้นมารีบสารภาพ ทันทีว่าตัวเองเป็นคนแอบเข้าไปในครัว แล้วขโมย อาหารกินจนหมดเหลือไว้เพียงน้ำซุปเท่านั้น ที่ทำไปก็เพื่อ การอยู่รอดและที่แกล้ง ปวดเท้าเดินไม่ได้ก็หวังจะอาศัยที่กินที่อยู่เท่านั้น  “ท่านหวังอยากจะได้เพียงฝ่ายเดียว  คนเราถึงจะไม่มีกินถ้ารู้จักขอ  หรือว่าหยิบยืมยังจะดีกว่าการโกหก ถ้าท่านไม่โกหก ยังมีคนต้องการช่วยเหลือ อีกมากมาย  เพราะไม่มีใครใจดำพอที่จะทอดทิ้งคนชรา อย่างท่านแน่”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....
การโกหกเพื่อการอยู่รอดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีและใช้ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เท่านั้น ไหนเลยจะสู้การพูด ความจริงต่อใคร ๆ เพื่อความอยู่รอดอันยาวนานและยังมีคน อีกมากมายอยากจะช่วยเหลือและมอบสิ่งดี ๆ ให้อย่างจริงจัง
 ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

นางสิบสอง           
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านท้ายเมืองแห่งหนึ่ง มีท่านเศรษฐีชื่อพรหมจรรย์และภรรยา ชื่อนางพราหมณี  ทั้งสองคนมีบุตรีถึง 12 คน ท่านเศรษฐีและภรรยาพร้อมด้วยบุตรีทั้ง 12 อยู่อย่างมีความสุข ไม่นานนักข้าวของเงินทองก็เริ่มลดน้อยลงไปทุกที จนกระทั่งเงินที่มีก็ได้หมดไป ท่านเศรษฐีและภรรยา ปรึกษากันว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราและลูกๆต้องอดตายกันหมดแน่ จึงตัดสินใจว่า จะพาลูกๆ ออกไปปล่อยทิ้งไว้ในป่า

วันรุ่งขึ้น นางพราหมณีมองดูลูกด้วยความสงสาร แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ท่านเศรษฐีได้พานางทั้งสิบสองคนเดินทางเข้าป่า เมื่อเดินทางเข้ามาในป่าได้ไกลมากแล้ว ท่านเศรษฐีก็ออกอุบายว่าจะออกไปเดินหาอาหารใกล้ๆ กันนั้นให้นางทั้งสิบสองรออยู่ที่นี่ นางทั้งสิบสองต่างก็นั่งรอคอยท่านเศรษฐีอยู่นานจนพลบค่ำ คิดว่าพ่อคงได้รับอันตรายเป็นแน่ นางทั้งสิบสองจึงหาทางกลับบ้าน จนกลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัย

วันรุ่งขึ้นนางพราหมณีผู้เป็นภรรยาก็จัดเตรียมข้าวห่อ  12 ห่อให้บุตรสาวไว้กินเป็นมื้อสุดท้าย ด้วยความสงสารและเป็นห่วง จากนั้นท่านเศรษฐีเห็นว่าตนเองพาลูกเข้าป่าใกล้เกินไป จึงออกอุบายใหม่ และพาลูกทั้งสิบสองเข้าป่าลึกกว่าเดิมไปอีกครั้งเพื่อหาอาหาร  และท่านเศรษฐีเห็นนางทั้งสิบสองเผลอ ก็แอบหนีมาปล่อยให้ลูกสาวทั้ง 12 คนอยู่ในป่า เผื่อมีคนใจบุญมาพบ แล้วนำไปเลี้ยงดู จะได้ไม่ลำบากอดมื้อกินมื้อแบบนี้

นางเภาน้องคนสุดท้อง นางเป็นคนที่มีหน้าตางดงามและมีความฉลาดกว่าพี่ ๆ ทุกคน นางเภาและพี่สาวทั้ง 11 คน เห็นว่า เวลาจะพลบค่ำแล้วรอผู้เป็นบิดาอยู่นานไม่เห็นมารับกลับ พวกนางทั้งสิบสองหิวจึงนั่งกินข้าวรอบิดากัน แต่ก็ไม่เห็นมารับจึงหาทางกลับบ้านกันเอง แต่พวกนางก็หาทางกลับบ้านไม่ได้เวลาค่ำแล้วพวกนางทั้งสิบสอง ต้องหาที่พักถ้าเดินทางต่อก็คงต้อง หลงทางกันอีกในป่านี้บิดาเคยบอกว่ามีสัตว์ป่าดุร้าย พวกนางจึงพากันเข้าไปพักในถ้ำเพื่อรอให้เช้า เสียก่อนจึงจะเดินทางหาบิดากันต่อ

เมื่อกล่าวถึงนางยักษ์สารตราแห่งเมืองทานตะวัน ซึ่งนางยักษ์จะมาทำพิธีในป่าแห่งนี้เป็นประจำ และจับมนุษย์มาเป็นอาหาร วันหนึ่งนางยักษ์ได้ออกมาทำพิธีในป่า เมื่อมาถึงก็พบกับเด็กสาวทั้ง 12 คน  นอนหลับอยู่เกิดรักและเอ็นดูเด็กสาวทั้ง 12 คน นางจึงแปลงกายเป็นมนุษย์ เข้าไปพูดคุย และนำพวกนางทั้ง 12 คน เข้าวังไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม

นางยักษ์ได้สั่งนางสนม และพลเมืองทั้งหมดให้แปลงกายเป็นมนุษย์เพราะกลัวลูกๆ จะกลัวเมื่อเห็นเป็นยักษ์แล้วจะไม่รักและอาจเกลียดตน นางยักษ์รักนางทั้งสิบสองปานดวงใจ แต่นางยักษ์ต้องออกไปจับมนุษย์มาเป็นอาหาร และทำพิธีในป่า นางยักษ์จึงสั่งห้ามลูก ๆไม่ให้ไปท้ายวังเป็นอันขาด เพราะมีสัตว์ดุร้าย แม่กลัวพวกเจ้าจะเกิดอันตรายได้ แล้วนางยักษ์ก็ออกเมืองไป

นางทั้ง 12 คนรับปากกับนางยักษ์จะไม่ไปไหน จะรอจนกว่าแม่จะกลับมา แต่พวกนางเกิดความ สงสัยอยากรู้ในสิ่งที่แม่ห้าม พวกนางจึงพากันไปท้ายวังเพื่อแอบไปดู ก็พบมนุษย์ถูกจับขังไว้ นางเภาเข้าไปถามถึงสาเหตุที่ถูกจับขัง พวกท่านทำสิ่งใดผิดถึงได้ถูกทำโทษ ชาวบ้านที่ถูกจับบอกให้ พวกนางหนีไปเพราะคนในเมืองไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นยักษ์ที่ดุร้ายมันจับมนุษย์มาเป็นอาหารพวกนาง ตกใจและเกิดความกลัวว่าสักวัน พวกนางคงเป็นอาหารให้กับนางยักษ์ผู้เป็นแม่ นางทั้งสิบสอง จึงพากันหนีเพื่อความปลอดภัย พวกนางทั้งหมดรีบออกจากเมืองทานตะวันไปทันที

พวกนางทั้ง 12 คนหนีเข้าไปในป่าแต่ก็กลัวสัตว์ร้าย นางเภาน้องคนสุดท้อง จึงอธิฐานขอให้เทวดา และเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งหลายช่วยให้นางทั้งหมดรอดพ้นจากนางยักษ์ด้วย เพราะพวกนางไม่รู้จะสู้ด้วยวิธีใดและคงจะหนี ต่อไปไม่ไหว พวกนางหมดแรงกับการเดินทางมาทั้งวัน จึงไม่มีเรียวแรงที่จะเดินทางต่อได้

ทันใดนั้นเองท่านเทพารักษ์ก็ปรากฏร่างออกมาที่ต้นไม้ใหญ่ และช่วยบังอำพรางพวกนางทั้งหมดให้ พ้นจากนางยักษ์โดยปลอดภัย ก่อนที่จะเดินทางต่อท่านเทวดาได้ชี้แนะทางให้พวกนางทั้ง 12 คน ไปทางทิศเหนือจะปลอดภัย และมีผู้ใจบุญจะนำพวกเจ้าไปเลี้ยงดู

กล่าวถึงพระรถสิทธ์ ออกประภาสป่าผ่านมาแถวนั้นเห็นนางเภาเข้าก็เกิดหลงรัก และได้สอบถามเรื่องราว ว่าเป็นมาอย่างไรถึงได้มาอยู่ในป่า แล้วพวกนางทั้งหมดก็มีแต่ผู้หญิงไม่กลัวภัยอันตรายกันหรือ นางเภา จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระรถสิทธิ์ฟัง พระรถสิทธ์เกิดความสงสารจึงพาพวกนางเข้าวังด้วย นางเภาและพี่สาวทั้ง 11 คนก็ตามพระรถสิทธิ์ไป

เมื่อถึงวังของพระรถสิทธิ์ พระองค์ยกนางทั้งสิบเอ็ดเป็นมเหสีและนางเภาเป็นมเหสีเอก พวกนางทั้งสิบสองอยู่กินอย่างมีความสุข ไม่นาน นางเภากราบทูลพระรถสิทธิ์อยากกลับบ้าน เพื่อไปหาท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาที่บ้าน เพราะเป็นห่วงว่าอยู่กินกัน อย่างไร พระองค์ให้ทหารและนางสนมติดตามไปด้วย และให้นำแก้วแหวนเงินทองไปให้บิดามารดา จากนั้นพวกนางทั้ง 12  คนก็ลาพระรถยาสิทธิ์กลับบ้าน

เมื่อพวกนางเดินทางมาถึงบ้านก็รีบเข้ามาหาบิดามารดาทันที ท่านเศรษฐีและภรรยาดีใจที่ลูกๆปลอดภัย และไม่ลำบาก พวกนางทั้งสิบสอง เล่าเหตุการณ์ให้บิดามารดาทราบตั้งแต่เจอกับนางยักษ์ และพบกับท่านเทพารักษ์ที่ช่วยคุ้มครองพวกตนให้พ้นจากนางยักษ์ จากนั้นก็ได้มาพบกับพระรถสิทธิ์ พวกนางชวนให้บิดามารดากลับวังด้วย แต่ท่านทั้งสองไม่ขอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เช่นเดิม

พวกนางทั้งสิบสองต่างพากันร่ำลาบิดามารดาเพื่อกลับวังเพราะพวกนางรับปากกับพระรถสิทธิ์ว่าจะกลับวังทันที่เมื่อพบกับบิดามารดา พวกนางบอกกับท่านเศรษฐีว่าจะมาเยี่ยมพวกท่านอีก  และนางทั้งสิบสองก็ออกเดินทางกลับวัง

กล่าวถึงเมืองพญายักษ์ ซึ่งมีภรรยาเป็นมนุษย์นางตั้งครรภ์และฝันมาได้กินน้ำมะงั่วหาว มะนาวโห่ นางจึงบอกกับพญายักษ์ว่าถ้าได้กินจะดีกับลูกในครรภ์แน่ พญายักษ์ รู้ดีว่าน้ำมะงั่วหาว มะนาวโห่นั้นมีอยู่ที่เมืองทานตะวันเท่านั้น เห็นดังนั้นพญายักษ์ จึงแต่งหนังสือ และให้เสนาส่งไปที่มีเมืองทานตะวันทันที

ด้านเสนาก็นำหนังสือไปมอบให้กับนางยักษ์สารตรา และนางยักษ์ได้อ่าน จึงได้นำ มะงั่วหาว มะนาวโห่มอบให้กลับเสนา เพื่อนำกลับไปให้แก่พญายักษ์และนางศรีสมุทร ส่วนพญายักษ์สั่งให้เสนาไปส่งข่าวสารให้นางยักษ์สารตราทราบเรื่อง ที่ท่านพญายักษ์และภรรยา ยินดียกบุตรสาวให้เป็นบุตรบุญธรรมของนางยักษ์สารตรา

นางศรีสมุทรได้ลิ้มรสมะงั่วหาวมะนาวโห่ก็รู้สึกดีและรู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อก่อนนักไม่นาน นางศรีสมุทรก็ได้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝด พญายักษ์ดีใจมาก และได้ตั้งชื่อให้กับธิดาองค์ใหญ่ ชื่อเมรี องค์เล็กชื่อศรีทัศนา

ฝ่ายนางยักษ์สารตรารู้ข่าว จึงมีหนังสือให้เสนาไปถวายให้กับพญายักษ์ เพื่อขอธิดาองค์หนึ่งของพญายักษ์มาเลี้ยง พญายักษ์เห็นดังนั้นจึงปรึกษากับนางศรีสมุทร และยอมยกธิดาให้เพราะนางสารตราจะรักและให้ครองเมืองทานตะวันสืบต่อไป และทำการเสี่ยงทายว่าจะมอบธิดาองค์ใดให้ ผลเสี่ยงทายออกมาเป็นธิดาองค์โตชื่อเมรี

เมื่อถึงวันที่นัดหมายตามที่ได้แจ้งมานางยักษ์สารตราก็รีบมารับบุตรสาวของพญายักษ์ทันที เมื่อนางยักษ์เห็นก็รู้สึกชื่นชอบเพราะทารกน้อยน่ารักงดงามเหลือเกิน นางยักษ์จึงลากลับเมือง ทานตะวันทันที และเลี้ยงดูธิดาเมรีอย่างรักใคร่

ต่อมานางยักษ์สราตราได้ทราบข่าวเกี่ยวกับนางทั้งสิบสองคนว่าพวกนางอยู่ที่วังหลวงของพระรถสิทธิ์ และนางเภาพร้อมด้วยพวกพี่สาวกำลังตั้งครรภ์อยู่ นางยักษ์สารตราคิดจะแก้แค้นจึงบอกกับนางเมรีว่าตนจะออกไปทำพิธีในป่าสักระยะหนึ่ง ให้นางเมรีอยู่ดูแลเมืองทานตะวันแทน

ที่ชายป่ามียายแก่คนหนึ่งได้เห็นนางยักษ์ ที่อยู่ในร่างของสาวงาม ยายแก่อยากจะได้ความดีความชอบ จึงเข้าไปในวังนำเรื่องไปกราบทูลพระรถยาเสนว่ามีหญิงงามกว่าใครในหล้า พระรถยาสิทธิ์ใคร่อยากจะชมโฉมยิ่งนักจึงเข้าป่ามา และได้พบนางยักษ์สารตราที่อยู่ในร่างของหญิงงาม พระรถสิทธิ์หลงใหลในความงามของนางยักษ์ จึงนำนางยักษ์กลับวังด้วย

นางยักษ์ใช้เวทมนตร์ให้พระรถสิทธิ์หลงเชื่อว่าพวกนางทั้งสิบสองคนแกล้งตนและชอบทำร้ายตน พระรถสิทธิ์เชื่อในคำที่นางยักษ์บอกและเห็นเช่นนั้นก็โกรธที่พวกนางไปทำร้ายมเหสีคนใหม่

พระรถยาสิทธิ์สั่งให้ทหารนำตัวพวกนางทั้งหมดไปขังในถ้ำ นางยักษ์สารตรายังโกธรแค้นอยู่ นางได้ออกอุยาบอีกครั้งโดยนางแกล้งป่วยหนักเจียนจะตาย พระรถยาสิทธิ์รีบมาดูอาการ นางยักษ์บอกพระรถยาสิทธิ์ว่าอาการแบบนี้ ต้องได้กินดวงตาของหญิงตั้งครรภ์สิบสองคนจึงจะหาย เพราะโดนเวทย์มนต์ของนางยักษ์ พระรถยาสิทธิ์ จึงสั่งทหารให้ไปนำดวงตาของนางทั้งสิบสองมาให้ตน นางทั้งสิบสองรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจึงตกใจกลัวและเป็นลมหมดสติไปทันที และโดนควักดวงตาไป เว้นแต่นางเภาที่โดนควักไปเพียงข้างเดียว

พระรถยาสิทธิ์ได้ดวงตาของนางทั้งสิบสองมาแล้วก็รีบมามอบให้แก่นางยักษ์สารตรา ด้วยความหลงใหล และด้วยเวทย์มนต์ของนางยักษ์ ทำให้พระรถยาสิทธิ์นั้นไม่เวทนาสงสารนางทั้งสิบสองแม้แต่น้อย

ในถ้ำอันมืดมิด พวกนางทั้งสิบสองไม่มีอาหารกินต้องนำลูกที่คลอดมาเป็นอาหารแทน พวกพี่ ๆ ทั้งสิบเอ็ดคนพากันกินลูกตัวเองต่อๆกันมาจนหมด เหลือแต่นางเภาเท่านั้นที่ไม่ยอมกิน เนื้อที่พี่ๆแบ่งมาให้ นางเภาได้นำเนื้อที่แอบซ่อนไว้ มาแบ่งให้พี่ทั้งสิบเอ็ดกินแทนเนื้อลูกของนางเภาเอง และนางอธิฐานขออย่าให้ลูกตนร้องไห้หรือส่งเสียงออกมาให้พวกพี่ของตนได้ยิน

นางเภาตั้งชื่อลูกชายว่าพระรถเสนแก่เป็นเด็กที่เก่งและฉลาดเป็นที่รักใคร่ของนางทั้งสิบสองทุกครั้งจะออกมามาเที่ยวเล่นกับลูกผู้คุมเสมอโดยผู้คุมก็รักใคร่เอ็นดู

มีอยู่วันหนึ่งพระอินทร์ได้เห็นและสงสารพวกนางทั้งสิบสองที่ต้องลำบาก ทนอยู่กับความมืดและความ อดอยากก็คิดจะช่วย จึงให้เทวดาองค์หนึ่งเหยี่ยว และอีกองค์แปลงกายเป็นลูกไก่ ขณะนั้นพระรถเสนเห็นเหยี่ยวบินเฉี่ยวไล่จับลูกไก่ และกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงวิ่งเอาก้อนหินขว้างใส่ เหยี่ยวให้หนีไปและอุ้มลูกไก่ไว้ พระรถยาเสนนำลูกไก่มาเลี้ยงไว้จนโต แล้วนำไก่ไปตีในหมู่บ้านเพื่อแลกกับอาหารมาให้แม่และป้ากินเรื่อยมา

เดิมทีพระรถยาสิทธิ์ชื่นชอบไก่ชนเมื่อได้ยินชื่อเสียงของพระรถเสนจึงให้เสนานำตัวพระรถเสนเข้า เฝ้าทันทีเพื่อให้เห็นว่ามีไก่ที่เก่งจริงเหมือนที่ชาวบ้านล่ำลือหรือไม่ ก่อนจะเข้าเฝ้า นางเภาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกตนให้พระรถยาเสนฟังและให้ระวังนางยักษ์สารตราเพราะนางจะนำความเดือดร้อนมาให้

พระรถสิทธิ์ทรงมีไก่ชนที่เก่งตัวหนึ่ง เมื่อนำลงแข่งกับไก่ชนตัวใดจะไม่แพ้สักครั้งเช่นกันดังนั้น พระองค์จึงต้องการที่จะแข่งชนไก่กับพระรถเสน เมื่อถึงวันที่ต้องชนไก่ทั้งสองก็เฝ้ามองไก่ที่กำลัง ลงสนามอย่างใจจดใจจอผลที่ออกมาคือไก่ชนของพระรถเสนเป็นผู้ชนะ และได้กราบทูลขอรางวัล เป็นข้าวและผลไม้ 12 ห่อ เพื่อนำไปฝากแม่และป้า พระองค์ก็ประทานให้

นางยักษ์ทราบเรื่องราวจากเสนา ก็เกิดความไม่พอใจที่พระรถสิทธิ์ให้ความรักและเอ็นดูต่อเด็กผู้นั้น อย่างออกหน้าออกตาและยังเป็นลูกของนางเภา จึงต้องการที่จะกำจัดเพื่อไม่ให้มาเป็นมารต่อตนเอง ในภายภาคหน้าได้ นางยักษ์พยายามหาโอกาสที่จะฆ่าพระรถเสน นางยักษ์ร่ายมนต์เรียกพระพายให้มาหา แล้วใช้ให้นำตาของนางทั้งสิบสองไปให้นางเมรีเก็บรักษาไว้ และแล้งทำเป็นไม่สบายอีกครั้ง นางยักษ์แกล้งบอกท้าวรถยาสิทธิ์ว่า อาการเก่ากำเริบต้องได้กินมะงั่วหาวมะนาวโห่จึงจะหาย แต่คนที่จะไปเอานั้นต้องเป็นคนที่เอาไก่มาตีพนันเท่านั้น จึงจะเอามาได้

ตกค่ำเมื่อพระรถยาสิทธิ์ทรงบรรทม ท่านเทวดาได้เห็นว่านางยักษ์สารตราคิดมิดีเช่นนั้นก็จะเกิดความเดือนร้อนขึ้นมาอีกท่านเทวดาจึงเสด็จมาเข้าฝันพระรถยาสิทธิ์ว่าถ้าท่านจะไปไหนให้เลือกม้าที่ท้ายเมือง เป็นม้าวิเศษ เหาะเหินได้แต่ม้าตัวนี้พยศนัก ถ้าเ้ขาไปจับให้เอามือลูบหลังสามทีก็จะสำเร็จ แล้วพระรถยาสิทธิ์ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา นำเรื่องความฝันไปเล่าให้นางทั้งสิบสองฟัง พวกนางก็รู้ว่า ที่ตนถูกควักลูกตานั้นเป็นแผนของนางยักษ์สารตรา ครั้งนี้คงคิดหาทางฆ่านางทั้งสิบสองและลูกอีก

พระรถเสนเห็นต้องตามฝัน ก็รับอาสา และขอเลือกม้าที่อยู่ท้ายเมือง และที่นางยักษ์สารตราใช้อุบายแกล้งไม่สบายใช้ให้พระรถเสนเดินทางไปเอายาวิเศษมาให้ เพื่อนำมาบำรุงร่างกายและได้ฝากสารไปให้ธิดาของตนชื่อนางเมรี ณ เมืองทานตะวัน พระรถสิทธิ์ก็เชื่อคำที่นางยักษ์ขอร้องจึงสั่งให้พระรถเสนออกเดินทางไปที่เมืองทานตะวัน เพื่อนำมะงั่วหาวมะนาวโห่มาให้กับนางยักษ์สารตรา

พระรถเสนเดินทางพัดเข้ามาที่ป่าได้พบกับท่านฤาษี ท่านทราบเรื่องที่นางยักษ์ส่งให้พระรถเสนไปตายก็สงสารเพราะนางเภาและป้าต้องลำบากมานาน ถ้าพระรถเสนเป็นอะไรไปอีกคงไม่ดีแน่ ท่านฤาษีให้ของวิเศษติดตัวไปหลายอย่างเพื่อป้องกันภัย

จากนั้นท่านฤาษีได้เอาสานส์ที่นางยักษ์ฝากไปให้ธิดามาเปลี่ยนข้อความใหม่ จากข้อความว่า “เมรีลูกรัก แม่ต้องการให้ลูกบอกให้เจ้าพวกยักษ์จับพระรถยาเสนกินเสีย อย่าให้มีอะไรเหลือ แม้พระรถยาเสนจะมาถึงกลางวันก็กินกลางวัน มาถึงกลางคืนก็กินกลางคืน จากแม่” เมื่อพระฤาษีเห็นดังนั้นจึงแก้ข้อความใหม่ว่า “เมรีลูกรัก แม่สุขสบายดี แม่ได้ส่งพระรถยาเสนให้มาอยู่เป็นเพื่อน ช่วยกันปกครองบ้านเมือง ขอเจ้าอย่าได้รังเกียจ แม้พระรถยาเสนจะมาถึงกลางวันจงต้อนรับให้ดี ถึงกลางคืนก็ต้อนรับให้ดียิ่ง และจัดการแต่งงานทันที จากแม่”  ท่านฤาษีก็ให้พระรถยาเสนออกเดินทางได้

แต่ก่อนออกเดินทาง ท่านฤาษีได้สั่งให้พระรถเสนระวังตัวให้มาก  เพราะในป่าเขามีภูตผีปีศาจร้าย มากมายมันอาจรอบทำร้ายเจ้าได้ เจ้ามีม้าวิเศษพูดและเหาะได้จะคอยเป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเจ้าและม้าวิเศษจะนำทางเจ้าให้ไปถึงเมืองทานตะวันอย่างปลอดภัย แล้วพระรถยาเสนก็กราบลาท่านฤาษีขึ้นมาเหาะไป

พระรถยาเสนได้นั่งม้าวิเศษเหาะมาได้หลายวัน และไม่ทันไรก็ได้เจอทหารยักษ์ตนหนึ่งขี่ม้าเหาะมาสกัดเอาไว้และถามว่าเหตุใดพระรถยาเสนมาทำไมโดยไม่บอกกล่าว พระรถยาเสนจึงนำสาน์สที่นำมาออกให้ทหารยักษ์ดูและถามว่า เมืองนี้เป็นเมืองทานตะวันที่นางยักษ์ชื่อเมรีปกครองอยู่ และมีมะงั่วหาวมะนาวโห่เป็นของประจำเมือง เมือ่ทหารยักษ์เห็นสาน์สก็จำลายมือได้ จึงพาพระรถยาเสนเข้าเมืองทานตะวัน
เมื่อทหารนำสาน์สที่พระรถเสนนำมาให้กับนางเมรี  และได้อ่านข้อความในสารให้นางเมรีทราบ นางเมรีได้อ่านสาน์สนั้นและแน่ใจว่าเป็นลายมือของนางยักษ์สารตราแน่นอน นางเมรีจึงได้ขอความเห็นจากยักษ์สิทธิกัลป์ว่านางควรทำอย่างไรดี ยักษืสิทธิกัลป์ทูลว่าเมื่อมีบัญชามาก็ควรจะต้องปฏิบัติตาม นางเมรีเห็นสมควรจึงเตรียมจัดทหารออกไปต้อนรับ

นางเมรีอยากเห็นพระรถยาเสนมากจึงได้เสด็จมาแอบดูว่าโสภาน่ารักตามที่นางกำนัลบอกจริงหรือ พอนางเมรีเห็นเข้าก็เกิดนึกรัก รีบกลับมาที่วังปรึกษาโหรหลวงและยักษ์สิทธิกัลป์เข้าเฝ้า เพื่อปรึกษาเรื่องอภิเษกสมรสทันทีตามที่นางยักษ์สารตราสั่งมา โดยไม่ฟังคำเตือนจากขุนโหรเลยว่าเป็นสาน์สปลอมและพระรถยาเสนเป็นศัตรูของนางเมรี

เมื่อได้ยินดังนั้นจึงทำให้นางเมรีโกรธและรู้สึกไม่พอพระทัยิ่งนักและได้บอกว่าที่ทำนั้นเป็นเพราะแม่ยักษ์สารตราสั่งมา และลายมือนั้นก็เป็นลายมือของนางยักษ์สารตราแน่นอน ด้านยักษ์สิทธิกัลป์ป์ก็ยืนยันว่าเป็นลายมือนางยักษ์สารตราแน่นอน และนางเมรีจึงสั่งให้ยักษ์สิทธิกัลป์ จัดการเตรียมงานอภิเษกสมรสให้ตนกับพระรถยาเสนทันที

หลายวันผ่านไปหลังจากพระรถยาเสนอยู่กินกับนางเมรี พระรถเสนเห็นว่าจะนำมะงั่วหาวมะนาวโห่และของวิเศษได้อย่างไร จึงคิดออกอุบาย เพื่อที่จะนำของวิเศษกลับเมืองไปให้กับแม่และป้า และพระรถยาเสน จึงปรึกษากับม้าวิเศษว่า ต้องหาทางไปที่ห้องลับเพื่อเอาของวิเศษมาให้ได้ แม่กับป้าจะได้ไม่ต้องลำบากและจะได้มองเห็นเสียทีี

จากนั้นพระรถเสนก็ชวนนางเมรีออกมาเดินเล่นที่สวนและชวนดูนกชมไม้ไปด้วยขณะที่นางเมรีเผลอพระรถยาเสนก็ได้แอบเด็ด มะงั่วหาวและมะนาวโห่ทันที ขณะที่เด็ดนั้นนางกำนัลได้หาวและโห่ออกมาเสียงดัง ทำให้นางเมรีแปลกใจและได้ถามว่า พระรถยาเสนได้เด็ดมะงั่วหาวมะนาวโห่หรือไม่ ด้านพระรถยาเสนบอกไปว่า ข้าเพียงแต่เอามือไปแตะดูเท่านั้นเอง นางเมรีก็หลงเชื่อโดยไม่ได้สงสัยอะไรเลย

พระรถเสนขอร้องว่าขอชมของวิเศษเท่านั้นไม่ต้องการสิ่งใด เพื่อให้เห็นเป็นขวัญตาว่าของจริงมี อย่างที่เค้าล่ำลื้อหรือไม่    ส่วนนางเมรีทนต่อคำขอร้องของสามีไม่ไหวจึงพาเข้าไปชม แต่ก็สั่งห้าม ไม่ให้จับสิ่งใด เพราะกลัวมารดาทราบเข้าจะไม่พอใจได้ แล้วนางเมรีก็อธิบายของวิเศษแต่ละอย่าง ว่าห่อหนึ่งนั้นเป็นยารักษาเนตรสำหรับรักษาคนที่ตาบอดให้กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง  ห่อที่สอง เป็นห่อดวงตาของนางสิบสองพระรถยาเสนได้ฟังถึงกับเศร้าและไม่ให้นางเมรีเห็น และได้ถามต่ออีกว่าแล้วไม้นั้นไว้ทำอะไร นางเมรีบอกว่า เมือเอาต้นไม้ไปชี้ถูกใครก็ตาย และเอาปลายไม้ชีก็จะฟื้นขึ้นมาอีก พระรถยาเสนได้นำน้ำจันมาหลอกให้นางเมรีดื่มจนหลับไป

จากนั้นพระรถเสนรีบนำดวงตาของแม่และป้าพร้อมด้วยของวิเศษทั้งหมดที่มีในห้องลับเอาไปด้วยเพื่อใช้ในระหว่างเดินทางเพราะรู้ดีว่าเมืองนี้เป็นเมืองยักษ์จะต่อสู้คงไม่ไหวแน่จึงรีบหนีออกจากเมืองทันที

พอนางเมรีฟื้นขึ้นมาไม่เห็นสามีและของวิเศษในห้องก็หายหมดนางเมรีรีบมาถามไถ่พวกนาง สนมและทหารว่ามีใครพบพระรถเสนบ้าง นางสนมและทหารต่างก็ไม่มีใครเห็นนางเมรีจึงแน่ใจว่า พระรถเสนหนีนางไปและได้ขโมยของวิเศษไปด้วยนางเมรีเสียใจมากจึงสั่งทหารเตรียมพลออกติดตามพระรถยาเสนทันที แต่โหรได้ทูลห้ามไม่ให้ไปเพราะนางเมรีมีเคราะห์อาจถึงตาย นางเมรีไม่ฟังเพียงได้พบหน้าพระรถยาเสนก็ยังดีถึงแม้จะต้องตายก็ยอม

นางเมรีนำทหารออกตามหาพระรถเสนทันที   และก็ตามทันนางเมรีขอร้องให้พระรถเสนกลับอย่าได้หนีนางไปขอให้พระรถยาเสนกลับมาก่อน พระรถเสนขอให้นางเมรีกลับไปก่อน แต่นางเมรีไม่ฟังเสียง นางเมรีจึงกลั้นใจตายทันที พระรถยาเสนตกใจจึงรีบเข้ามาดู และเสียใจมากถึงกลับเป็นลมไปอีกคนครั้นพอตื่นขึ้นมาสั่งให้ทหารรักษาศพนางเมรีไว้ให้ดี แล้วตนจะกับมาอีกครั้ง

เมื่อพระรถเสนมาถึงถ้ำได้มอบดวงตาและยาวิเศษที่สามานดวงตาให้กับแม่และป้าเพื่อให้หายเป็นอย่างเดิมนางเภาและพี่สาวทั้ง 11 คนมองเห็นตามเดิม พระรถเสนจึงลาแม่และป่าไปเข้าเฝ้าพระรถยาสิทธิ์เพื่อถวายมะงั่วหาว มะนาวโห่

พระรถเสนมาถึงเมืองหลวง นางยักษ์สารตราเห็นของวิเศษและมะงั่วหาว มะนาวโห่ก็รู้ทันทีว่านางเมรีต้องเสียท่าให้กับพระรถยาเสนแน่นอน ด้วยความโกรธนางยักษ์สารตราแปลงร่างเป็นยักษ์และเข้าจะทำร้ายพระรถยาเสน และคิดที่จะฆ่าให้ตายทันที

ด้านท้าวรถยาสิทธิ์เมื่อรู้ว่านางยักษ์สารตราเป็นยักษ์จึงตกใจกลัวมาก ฝ่ายพระรถยาเสนนั้นได้ต่อสู้กับนางยักษ์สารตราและพระรถเสนได้ใช้ไม้วิเศษชี้ไปที่ตัวนางยักษ์ นางยักษ์สู้ไม่ได้ตายทันที พระรถสิทธิ์หายเป็นปกติเพราะนางยักษ์ตายคาถาเวทมนตร์ของนางยักษ์ ก็เสื่อมทันที พระองค์จำเรื่องราวได้ก็ให้ทหารและนางสนมรีบออกเดินทางไปรับนางเภาและชายาทั้ง 11 คนกลับวังหลวงอย่างเดิม

ส่วนพระรถเสนเมื่อเสร็จสิ้นภาระทางนี้แล้ว  เห็นพระบิดาได้กลับมาเป็นคนเดิมและรับมารดากลับ อย่างปลอดภัย ก็รีบนั่งม้าเหาะกลับเมืองทานตะวันทันที พระรถเสนเสียใจที่เป็นต้นเหตุทำให้นางต้อง มาตาย ด้วยความรักของพระรถยาเสนที่มีให้กับนางเมรีนั้น พระรถยาเสนจึงกลั้นใจตายตามนางเมรีไป

พระรถสิทธิ์และนางเภา เมื่อทราบเรื่องที่ต้องสูญเสียพระรถเสนไปก็เสียใจมาก วันเวลาผ่านไป พระรถสิทธิ์และชายาทำใจได้และได้อยู่จึงปกครองเมืองและดูแลชาวเมืองอย่างมีความสุขไม่มีนางยักษ์ มารบกวนบ้านเมืองอีกต่อไป

.......................................... จบเรื่องนางสิบสอง ...................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น